วันอาทิตย์ที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555


Bonjour!!


Je m'appelle Nareeporn Kaewtub
Je suis né vingt-sept Juin 1995.
J'ai 17 ans.
Je suis l'éléve de Wangklaikangvol l'école





Ma famille.
Mon pére s'appelle BoonChoo.
Il suis né Quatre septenbre 1964.
Il a 48. ans.
Mon Ma mére s'appelle Phimon.
Elle suis né quatorze mai 1964.
Elle a 48. ans.
J'ai une soeur.
Elle s'appelle Nantaporn
Elle suis vingt et un  mai 1988.
Elle a 24. ans.




ความรู้สึกที่มีต่อโรงเรียน
      ดิฉันประทับใจมากค่ะที่ได้เข้ามาศึกษาต่อในโรงเรียนวังไกลกังวลแห่งนี้ เพราะเป็นโรงเรียนของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ถึงแม้ดิฉันจะไม่ได้ศึกษาอยู่ที่โรงเรียนนี้ตั้งแต่ม.1 แต่ดิฉันก็รับรู้ได้ว่า โรงเรียนแห่งนี้เป็นโรงเรียนที่มีความอบอุ่นมาก เป็นกันเอง บรรยากาศของโรงเรียนก็ดีด้วยและยังให้ความรู้แก่เราเพิ่มขึ้น ทำให้เรามีความขยันมากขึ้นด้วย และได้รู้จักเพื่อนใหม่ๆ ที่เราไม่เคยรู้จัก เพราะต่างคนก็ต่างแยกย้ายมาจากคนละที่กันพอมารู้จักกัน ก็สนิทกันมากขึ้น ถึงแม้ตอนแรกดิฉันไม่อยากจะมาศึกษาต่อที่นี่ก็ตาม และพอได้มาทำความรู้จัก ได้ลองค้นหาอะไรใหม่ๆ ก็รักโรงเรียนนี้ขึ้นมาทันที ถึงแม้โรงเรียนแห่งนี้จะเป็นโรงเรียนบ้านนอกเล็กๆ และไม่มีชื่อเสียงอะไร แต่ดิฉันก็รัก และให้เกียรติโรงเรียนนี้มาก เหมือนเป็นบ้านหลังที่สอง
ของดิฉัน





ความรู้สึกที่เรียนฝรั่งเศส
   ตอนแรกดิฉันก้อไม่ได้ตั้งใจที่จะมาเรียนสายนี้เพราะดิฉันจบมาจากโรงเรียนที่เป็นสายวิทย์-คณิตอยู่แล้ว ดิฉันก็คิดว่าดิฉันจะมาเรียนสายวิทย์-คณิตต่อแต่พอดิฉันลองคิดทบทวนไปดีๆๆ ดิฉันไม่ได้ต้องการที่จะมีอาชีพเป็นหมอ เป็นเภสัช แต่อาชีพที่ดิฉันอยากเป็นมากที่สุด และเป็นอาชีพที่ผู้หญิงหลายๆคนใฝ่ฝันอยากจะเป็นเหมือนกันก้อคือ'แอร์โฮสเตส' ดิฉันเลยตัดสินใจที่จะเลือกเรียนสายนี้ บวกกับที่ดิฉันชอบประเทศฝรั่งเศสอยู่แล้วเพราะเป็นประเทศที่ดิฉันใฝ่ฝันอยากไปมากที่สุด เพราะดิฉันอยากจะไปเห็นหอไอเฟล ซึ่งเป็นประติมากรรมที่มีชื่อเสียงของประเทศฝรั่งเศส และประเทศฝรั่งเศสเป็นประเทศที่มีความโรแมนติกที่สุด มีบรรยากาศที่ดีมาก ดิฉันเลยตัดสินใจเข้ามาเรียนสายนี้เพราะดิฉันอยากได้รับความรู้เกี่ยวกับภาษาฝรั่งเศส เพื่อที่วันหนึ่งดิฉันอาจจะได้ไปในสถานที่แห่งนั้นจริงๆๆ


............................................................................
Le Festin
Camille
Les rêves des amoureux sont comme le bon vinIls donnent de la joie ou bien du chagrin
Affaibli par la faim
, je suis malheureuxVolant en chemin tout ce que je peuxCar rien n’est gratuit dans la vie...
L’espoir est un plat bien trop vite consomméÀ sauter les repas, je suis habitué
Un voleur, solitaire, est triste à nourrir
À nous, je suis amer, je veux réussir
Car rien n’est gratuit dans la vie...
Jamais on ne me dira que la course aux étoiles, ça n’est pas pour moiLaissez-moi vous émerveiller, prendre mon envol
Nous allons enfin nous régaler...
Et sortez les bouteilles, finis les ennuisJe dresse la table, demain nouvelle vie
Je suis heureux a l’idée de ce nouveau destin
Une vie à me cacher, et puis libre enfin
Le festin est sur mon chemin...
Une vie à me cacher et puis libre enfin
Le festin est sur mon chemin...

 
คำแปล
งานเลี้ยง
การใฝ่ฝันถึงความรักนั้นก็เป็นเหมือนการได้ลิ้มรสไวน์ชั้นเลิศ
ซึ่งมันจะให้ทั้งความสุขและความเศร้าอย่างมากมาย
ฉันรู้สึกทุกข์ทรมานยามที่ต้องหิวจนหมดแรง ทั้งยังต้องระหกระเหินไปตามเส้นทาง
ทุกสาย ที่ฉันจะสามารถไปได้ เพราะว่าชีวิตนั้น ไม่มีสิ่งใดได้มาง่ายๆ
ความหวังเป็นดั่งอาหารจารหนึ่ง ที่กินหมดเร็วจนเกินไป และตัวฉันนั้นต้อง
อดมื้อกินมื้อเป็นประจำ เพราะฉันเป็นเพียงแค่หัวขโมยที่โดดเดี่ยว
และอดอยากคนหนึ่ง สำหรับพวกเราแล้ว ฉันมีชีวิตอยู่อย่างขื่นขม และฉันก้อต้องการ
ประสบความสำเร็จเช่นกันเพราะชีวิตนั้น ไม่มีสิ่งใดได้มาง่ายๆ ไม่เคยมีสักครั้งเลย
ที่คนเขาจะมาบอกกับฉัน ถึงหนทางการไปสู่ดวงดาว เพราะสิ่งเหล่านี้
ไม่ได้มีไว้สำหรับฉัน ปล่อยให้ฉันทำให้เธอแปลกใจเถอะ แล้วมาร่วมเดินทาง
ไปกับฉัน ในท้ายที่สุดเราจะได้จัดงานเลี้ยงฉลองกัน หยุดความน่าเบื่อทั้งหลายไว้
แล้วออกมาสู่โลกใหม่ ฉันจะจัดโต๊ะอาหารเตรียมไว้ และวันพรุ่งนี้ก็จะกลายเป็น
วันเริ่มต้นชีวิตใหม่ ฉันมีความสุขไปกับความคิดที่จะได้เริ่มต้นสิ่งใหม่ๆที่สดใส
ชีวิตๆหนึ่งที่เคยกักขังฉันไว้ แล้วในที่สุดฉันก็ได้เป็นอิสระ งานเลี้ยงนั้นรอคอย
ฉันอยู่แล้วชีวิตๆหนึ่งที่เคยกักขังฉันไว้ แล้วในที่สุดฉันก็ได้เป็นอิสระ
งานเลี้ยงนั้นรอคอยฉันอยู่แล้ว




บทกลอน

ความรักนั้นความหมายยากสิ่งเทีย
     อันจะเปรียบเมรัยชั้นเลิศ
 ได้ดื่มด่ำทำให้อารมณ์เกิด
   มันประเสริฐโสกเศร้าเล้ากันไป
ถึงตัวฉันเพียงหยดนั้นหายาก
   แสนลำบากเพียงนิดมิเคยได้
มีแต่ผ่านเข้ามาแล้วผ่านไป
   กว่าจะได้ลักลอบแอบเรื่อยมา
  ... มิเคยเลยสักครั้งสิ่งที่ได้
มาเก็บไว้ไม่ทานต้องโหยหา
   มีความหวังเพียงนิดก็จำลา
ไม่กลับมาเลือนลางจางหายไป
   ฉันนั้นต้องขื่นขมระทมทุกข์
ขาดความสุขแสนอดรันทดใจ
   ต้องโดดเดี่ยวเดียวดายชีวาวอด
มันช่างปลอดเพื่อนพ้องมองเห็นใค
   ชีวิตนี้จะมีความสุขได้
ก็ต้องใช้อดทนกว่าได้มา
   หวังพึ่งมิตรกายคอยช่วยไม่เห้นหน้า
คิดพึ่งพาไม่มีใครสักคน
   ไปให้สุดปลายทางที่มุ่งหวัง
สุดพลังเต็มที่พร้อมอดทน
   คิดสรรค์สร้างวาดฝันไม่เคยจน
ค่าของคนไม่สิ้นดิ้นรนไป
   เป็นดั่งนกโบยบินท้องฟ้ากว้าง
แม้อ้างว้างก็ยังดูงามงด
   ผู้เห็นพบชื่นชมช่างสวยสด
ต่างได้ลดความเศร้าร่าเริงรมณ์
   งานเฉลิมฉลองเพิ่งจะเริ่ม
มาประเดิมสนุกทุกถ้วนหน้า
   ต่างดูดื่มสนุกตามเวลา
ลืมปัญหาเลือนลางจางหายไป
   ขึ้นวันใหม่เตรียมพบประสบโชค
ขอทุกข์โศกจงลาอย่ามีไว้
   ก้าวเดินต่อบนเส้นทางยาวไกล
พบสิ่งใหม่มุ่งมั่นไปข้างหน้า
   ขอบอกลากับสิ่งที่ขื่นขม
จะไม่จบลบซ่อนที่ผ่านมา
   ทางข้างหน้าของเรานั้นแสนสุข
โปรดจงลุกขึ้นมาตามทางเรา

........................................................................................